Dec
หลาย ๆ คน คงชื่นชอบ การทาน ของหวาน แสนอร่อย ที่หน้าตาสดใส น่ารัก น่าทาน อย่าง เค้ก ใช่ไหมคะ ซึ่งวันนี้ เราจะไปดูวัฒนธรรม ในการทาน เค้ก ที่มีมากกว่า ความอร่อย
วันนี้ เรามาดู การเดินทางของ “เค้ก” ( cake ) กันค่ะ ว่า มีประวัติศาสตร์อันยาวนานสุด ๆ เลย ซึ่ง เค้ก นั้นมีรากศัพท์ มาจากคำว่า “kaka” ในภาษาของ ชาวไวกิ้ง ( Old Norse word ) โดยจัดเป็นอาหารชนิดหนึ่ง ที่มักจะมีรสหวาน เเละได้ผ่านกระบวนการอบ มีส่วนผสมสำคัญ ได้แก่ เเป้ง น้ำตาล เเละส่วนประกอบอื่น ๆ อย่างพวก ไขมัน อาทิ เนย ชีส ยีสต์เเละนม นอกเหนือจากนี้ ก็ยังมีไข่ ผัก เเละผลไม้ ที่ได้มาเสริมรสหวาน เเละเปรี้ยว ที่สร้างสรรค์ ให้มีรสชาติที่อร่อยมากขึ้นอีกด้วย โดยว่ากันว่า ช่วงราวศตวรรษที่ 13 มีการค้นพบหลักฐาน ของการอบขนมเค้ก ที่เก่าเเก่ของชาวอียิปต์ โดยในสมัยโบราณนั้น มักจะเป็นเค้กผลไม้ เเละ Gingerbread ขณะที่รูปแบบของเค้กทรงกลม ที่เราได้เห็นในทุกวันนี้ คาดว่าจะเริ่มมีช่วง ราวกลางศตวรรษที่ 17 ในช่วงที่มีการพัฒนานวัตกรรมเตาอบ เเบบพิมพ์ขนม เเละน้ำตาลทราย โดยที่ เค้ก ส่วนใหญ่ นั้นจะรับประทานพร้อม กับไวน์หรือน้ำชา นั่นเอง
ส่วนทางยุโรป เเละอเมริกาเหนือ เปรียบเสมือนศูนย์กลางของวัฒนธรรมเค้ก เเต่เดิมนั้น ผู้คนส่วนใหญ่จะนิยมทำเค้กขึ้นมา เพื่อใช้ในการบูชาพระเจ้า เเละจัดเป็นอาหาร สำหรับคนในครอบครัว ก่อนจะเเพร่หลายเป็นวงกว้าง เเละได้ถูกนำมาใช้ในโอกาสสำคัญอย่างปัจจุบัน โดยในทาง ฝรั่งเศส เค้กไม่ได้หมายถึงแค่ ขนมเค้กอย่างเดียว เเต่รวมไปถึง fruit cake ทุกชนิด เช่นเดียวกับสหราชอาณาจักร เเละสหรัฐอเมริกา ที่มีการใช้คำว่าเค้ก กับพวกขนมหวานหลายชนิด อาทิ Iced cake เเละ chocolate cake เป็นต้น
แต่ทว่า ในเเง่หนึ่ง วัฒนธรรมเค้กของตะวันตก ก็ได้มีการประยุกต์ มาจากวัฒนธรรมในเอเชียบ้างเล็กน้อย อย่างเช่น การทำเค้กให้มีขนาดเล็กลง เหมือนกับเค้ก kasutera ของญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม เค้กในเอเชีย ก็ยังค่อนข้างเเตกต่าง กับทาง เค้กของตะวันตก เช่น ขนมไหว้พระจันทร์ เเละเค้กข้าวของฟิลิปปินส์ เป็นต้น ซึ่งจุดเปลี่ยนเเปลงสำคัญ ของวงการเค้ก นั่นคือ การค้นพบของอัลเฟรด เบิร์ด ( Alfred Bird ) ในปี ค.ศ.1843 ซึ่งเขานั้น สามารถคิดค้น “ผงฟู” หรือ baking powder ขึ้นมาได้ ทำให้สามารถทำขนมปังชนิดที่ไม่มียีสต์ได้เป็นครั้งเเรก จากเเรงบันดาลใจที่ภรรยาของเขา ที่ป่วยเป็นโรคภูมิเเพ้อาหารที่มีส่วนผสมของไข่เเละยีสต์